คนโบราณเล่าเรื่องราวชีวิตจิตเรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเหมาะสมเข้ากันกับความพยายามของเราที่จะพรรณนาชีวิตจิตอุร์สุลิน เรื่องมีอยู่ว่า …
วันหนึ่ง นักพรตหนุ่มมาพบนักพรตอาวุโสซึ่งกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังสวดมนต์ภาวนา บ้างก็ง่วนอยู่กับงานและบ้างก็ทำสมาธิ
นักพรตหนุ่ม กล่าวว่า “ข้าพเจ้าสามารถเดินบนน้ำได้” พร้อมกล่าวเชิญชวนนักพรตสูงวัยว่า “ขอให้เราทั้งสองไปเดินบนทะเลสาบเล็ก ๆ ตรงโน้น แล้วหาที่นั่งสนทนาธรรมด้านจิตวิญญาณกันเถิด”
พระอาจารย์อาวุโสกล่าวตอบว่า “หากสิ่งที่เจ้าพยายามทำคือไปให้พ้นจากคนเหล่านี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่เหาะเหินเดินอากาศไปกับข้า แล้วไปหาวิมานเมฆสงบ ๆ เพื่อคุยกันที่นั่นเล่า”
ศิษย์หนุ่ม กล่าวตอบว่า “ข้ามิอาจทำเช่นที่ท่านอาจารย์กล่าวได้ เหตุเพราะพลังที่ท่านว่า มิใช่อานุภาพที่ข้าครอง”
พระอาจารย์จึงอธิบายว่า “เช่นนั้นแล้ว อำนาจศักดาที่เจ้ามี อันเป็นพลังที่สามารถก้าวย่างอยู่บนสายธาราได้ เปรียบแล้วก็คือพลังที่ฝูงมัจฉาต่างมี ส่วนพลังอำนาจของข้าที่สามารถเหาะเหินลอยล่องอยู่บนนภากาศได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับความสามารถของพวกแมลงวัน ความสามารถเหล่านี้มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับความจริงแท้ของชีวิตเลย ที่จริง มันเป็นรากฐานของความเย่อหยิ่งและการแข่งขัน หาใช่เรื่อง จิตวิญญาณแท้ไม่ หากเราต้องการสนทนาเกี่ยวกับประเด็นทางด้านจิตวิญญาณ เราก็ควรสนทนากัน ณ ที่นี้เลย”
แก่นของเรื่องเล่านับว่าจริงเป็นแน่แท้ กล่าวคือชีวิตประจำวันเป็นสารัตถะแห่งชีวิตทางจิตวิญญาณ คำถามที่ผุดขึ้นมาก็คือ เราคิดว่ามันจะเป็นไปอย่างง่ายดายเช่นนั้นจริงๆ หรือเปล่า?
ชีวิตจิตเป็นมากกว่าการไปโบสถ์ เราอาจเข้าร่วมนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ แต่กลับไม่ได้พัฒนา จิตวิญญาณเลย ชีวิตจิตเป็นวิถีที่เราแสดงออกถึงความเชื่อศรัทธาอันมีชีวิตชีวาในโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตจิตเป็นการปักหลักลงรากลึกอยู่ในพระเจ้า ชีวิตจิตเป็นสัมพันธภาพอันแข็งแกร่งระหว่างคุณกับพระเจ้า ชีวิตจิตเป็นความใจกว้าง ชีวิตจิตดึงดูดเราให้ข้ามโพ้นและก้าวไกลเกินกว่าอัตตาของเราเพื่อนัยยะอันสำคัญและความหมายแห่งชีวิต ชีวิตจิตที่เราพัฒนาเป็นดั่งเครื่องกรองที่เราใช้มองโลก
ชีวิตจิตอุร์สุลิน ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากงานเขียนของนักบุญอัญจลา เมริซี คือเรื่องของการมีใจเปิดกว้างพร้อมต้อนรับ ชีวิตจิตของนักบุญอัญจลา ไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองหมวดหมู่ระหว่างกิจกรรมการงานและการสวดภาวนา สำหรับนักบุญอัญจลาและพวกเราอุร์สุลิน การมีใจเปิดกว้างพร้อมต้อนรับเกี่ยวข้องกับการเปิดใจต้อนรับผู้มาเยือน และใส่ใจมุ่งปฏิบัติต่อพวกเขาเหล่านั้น มีวลีที่สวยงามของชาวอิตาเลียนได้กล่าวไว้ว่า “Siate Piazzevole” ซึ่งอาจแปลได้ว่า “ขอให้เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ดุจดังลานกว้างของ piazza”
เบรสเซีย เมืองที่นักบุญอัญจลาได้ใช้ชีวิตอยู่นานหลายปี มีน้ำพุอยู่หลายแห่งมากกว่าเมืองอื่น ๆ ในประเทศอิตาลี ที่ใดมีน้ำพุที่นั่นมีลานกว้าง – piazza – อยู่ด้วยเสมอ ดังนั้นลานกว้าง ๆ อันเป็นสถานที่เปิดโล่ง กว้าง และใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจก็ผุดขึ้นราวดอกเห็ดไปทั่วเมืองเบรสเซีย กระนั้นลานกว้าง – piazza – ทุกแห่งในเมืองเบรสเซียก็มีลักษณะร่วมที่เหมือนกัน นั่นคือเปิดกว้างสำหรับทุกคน ใครมาใครไปก็ได้ ใครไปพักผ่อนก็ได้ ณ ลานโปร่งโล่งกว้างของ piazza ทุกคนเป็น ตัวของตัวเองได้อย่างสบายใจ
เมื่อนักบุญอัญจลา บอกกับบรรดา “ลูกสาว” ของท่านว่า ให้ปฏิบัติตนเป็นเหมือนลานโล่งกว้างของ piazza นักบุญอัญจลาได้ทิ้งมรดกไว้ให้เราในเรื่องการใช้ชีวิตว่าต้องดำเนินไปอย่างไร นั่นคือ ต้องเปิดใจกว้าง มีเมตตากรุณา และเป็นเจ้าบ้านที่ดี การปฏิบัติตนเป็นดังลานกว้างพักใจ คือความลับของ ชีวิตจิตอัญจลา นั่นคือไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีแต่การบูรณาการและความเป็นหนึ่งเดียวกัน
จิตวิญญาณของนักบุญอัญจลาที่ชิดสนิทลุ่มลึกในพระเจ้า ไม่ได้นำพาท่านไปสู่การเข้าบวชอยู่ในเขตพรต แต่กลับเป็นพลังให้ท่านยืนหยัดมั่นคงอยู่ในสังคมโลกและอุทิศชีวิตเพื่อคนอื่น ๆ เฉกเช่นลานโล่งกว้าง – piazza – อันเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในทุกแห่งหนก็ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป
ในฐานะ “ลูกสาว” ของนักบุญอัญจลา ชีวิตจิตอุร์สุลินของพวกเราถูกตราด้วยจิตชิดสนิทลุ่มลึกใน พระเจ้า ด้วยใจที่เปิดกว้างต่อผู้อื่น และด้วยความไว้วางใจอันลึกซึ้งในพระองค์ ความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องของชีวิตจิตอัญจลาเป็นดั่งนี้ ท่านนักบุญอัญจลาเชื่อมั่นว่า เป็นไปได้ที่จะผนวกชีวิตการภาวนาและการอุทิศตนอย่างลึกซึ้งเพื่อพระเจ้าเข้ากับการรับใช้พระศาสนจักรเพื่อพระอาณาจักรของพระองค์
ดูเหมือนว่าอุร์สุลินทั่วโลกต่างเดินมาบรรจบในจุดร่วมเดียวกันในการมองทะลุถึงแก่นแกนชีวิตจิต อัญจลาอันเป็นดั่งมรดกร่วมในชีวิตนักบวช แก่นแกนดังกล่าว คือ ความรักที่ชิดสนิทลุ่มลึกอยู่ใน พระเจ้า การเปิดใจให้กว้างและกระตือรือร้นอันส่งผลต่อการรับใช้สนองตอบต่อความจำเป็นของผู้อื่น
เหตุเพราะนักบุญอัญจลาได้รับพระพรของความรักที่ชิดสนิทลุ่มลึกในพระเจ้า สัมพันธภาพระหว่างท่านและพระเจ้าจึงเป็นศูนย์กลางชีวิตของท่าน จนอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นแก่นชีวิตของท่านเลยทีเดียว เพราะแก่นแกนกลางใจดังกล่าวจึงทำให้ท่านมีอิสรภาพที่จะรักอย่างกล้าหาญ ความรักที่มีต่อพระเจ้าจึงเป็นเหมือนปรีชาญาณของท่านนักบุญอัญจลา
อุร์สุลินทั่วโลกเป็นประจักษ์พยานผ่านการดำเนินชีวิตในคำภาวนา ในกลุ่มบ้าน ในการรับใช้โลก ทั้งหมดเป็นหลักฐานที่ประจักษ์จับต้องได้ ซึ่งสื่อให้เห็นว่าพระพรของท่านนักบุญอัญจลายังคงมีชีวิตชีวาอยู่ในโลกของเรา
ในฐานะอุร์สุลิน ชีวิตการอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่น รวมทั้งชีวิตในการปฏิบัติพันธกิจต่างๆ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับสัมพันธภาพส่วนตัวของเรากับพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์เสมอ ชีวิตจิตของเรามีแหล่งกำเนิดก่อเกิดจากพระวรสาร ซึ่งเป็นดั่งน้ำทรงชีวิตที่หล่อเลี้ยงเราอยู่อย่างไม่ขาดสาย นักบุญ อัญจลาเองก็ได้พินิจไตร่ตรองใคร่ครวญพระวรสารและถือว่านี่คือบ่อเกิดแห่งพลังในการอุทิศทุ่มเทตนติดตามพระคริสตเจ้า นักบุญอัญจลาเชิญชวนเรา “ลูกสาว” ของท่าน ให้เป็นผู้ฟังและนักปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนแห่งพระวรสาร
ใคร ๆ ก็สามารถทำสิ่งที่เรา…อุร์สุลิน…“ทำ”…ได้ มีครูท่านอื่นทำหน้าที่เช่นเรา มีพยาบาลท่านอื่นนอกเหนือจากเรา หรืองานอื่นๆ อีกสารพัดที่อุร์สุลินทำ กิจกรรมของเราไม่ใช่สาเหตุแห่งความสำคัญของเรา ความสำคัญของเรามาจากข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงโอบอุ้มเราไว้ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และอบอุ่น และเราก็ทราบดี เรารู้โดยประสบการณ์ของเราว่า พระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตของพวกเราได้อย่างไร ผลลัพธ์ก็คือ ชีวิตของเรามีความหมาย เป็นหนึ่งเดียวกัน และครบสมบูรณ์…เกินกรอบการรับรู้และความเข้าใจของโลก
ในขณะที่เราย้อนระลึกถึงการเดินทางด้านจิตวิญญาณ คำถามสามประการก็ปรากฏขึ้นมาเพื่อให้เราสะท้อนย้อนดูชีวิต ดังนี้
ตามประสบการณ์ในชีวิตของเรา เราเรียกพระเจ้าว่าอย่างไร
ตามประสบการณ์ในชีวิตของเรา เราเรียกตัวเองว่าอย่างไร
และคำถามที่สาม ชี้แนะไปที่จุดเริ่มต้นของการภาวนา นั่นคือ
ความปรารถนาแห่งหัวใจของเราคืออะไร
นักบุญอัญจลารู้จักพระเจ้าทั้งในแบบ “พระผู้ทรงเกินกว่าเป็นนิจ” และ “พระผู้ใกล้ชิดสนิทสนม” พระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตท่าน ท่านได้รับพระหรรษทานของพระเจ้าเพื่อที่จะได้รู้ว่าตนเองเป็นคนบาปผู้ได้รับความรัก อันส่งผลให้เกิดอิสรภาพและความปีติรวมถึงการเป็นสตรีแห่งความหวัง นักบุญอัญจลาทราบดีว่าชีวิตที่ยังคงดำรงอยู่ได้ในโลกนี้รวมทั้งกิจการงานต่างๆ มีรากฐานอยู่ในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะความดีของท่าน แต่ในพระคุณของพระองค์
นักบุญอัญจลามีพรสวรรค์อันแสนพิเศษในเรื่องของการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมีหรือคนยากจน ไม่ว่าคนหนุ่มสาวหรือคนสูงวัย ท่านเข้าได้กับคนทุกหมู่เหล่า พรสวรรค์นี้เป็นส่วนหนึ่งของอิสรภาพที่ท่านมี
นักบุญอัญจลา ขอร้องเราอย่างต่อเนื่องในเรื่อง “Siate piazzevole” นั่นคือ “ขอให้มีเมตตากรุณา และมีใจอ่อนน้อมถ่อมตนในสัมพันธภาพกับผู้อื่น” ในขณะที่นักบุญอัญจลายืนอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนั้น ท่านก็เห็นว่าผู้อื่นมีสัมพันธภาพกับพระเป็นเจ้าอย่างไรด้วย หากท่านทราบว่าท่านได้รับความรักและถูกเลือกโดยพระผู้เป็นเจ้าฉันใด ท่านก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เหมือนกันก็เกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ ด้วยฉันนั้น อัญจลาเชื่อมั่นว่าพระเจ้ารู้จักทุกคน รักทุกคน และทุกคนมีค่าประเสริฐในสายตาของพระองค์ หากอัญจลาคือฝันที่เป็นจริงของพระเป็นเจ้า มนุษย์คนอื่นก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน
พระพรของอัญจลาประการหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับพระศาสนจักรคือ บรรดาหญิงสาวในกลุ่มของท่าน ปฏิญาณตนที่จะใช้ชีวิตพรหมจรรย์อยู่ในโลก พวกเธอไม่ได้ปลีกตัวจากโลก นักบุญอัญจลาเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่แสนเจ็บปวด เต็มไปด้วยบาป และบิดเบี้ยวอัปลักษณ์เหมือนอย่
นักบุญอัญจลาบอกเราว่า ให้มีพระเยซูเจ้าเป็นดั่งขุมทรัพย์เพียงหนึ่งเดียว เมื่อทรัพย์ศฤงคารของใครคนหนึ่งคือพระเยซูเจ้า สมบัติพัสถานใด ๆ ที่เหลืออยู่ก็มิได้มีความสำคัญอีกต่อไป นักบุญอัญจลา เชิญชวนพวกเราให้ปลดเปลื้องหัวใจไม่ยึดติดกับสรรพสิ่งอันเป็นอนิจจังทั้งหลายและท้ายที่สุดคือละทิ้งตัวตนอัตตาของเรา จากนั้นเราก็จะแสวงหาความดีงามทั้งมวลในองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
แม้ว่าเราจะมั่งคั่งร่ำรวย มีทุกสิ่ง ครอบครองทุกอย่าง กระนั้นจงอย่าถูกครอบงำโดยโภคทรัพย์ทั้งหลาย! ข้อรู้แจ้งเห็นจริงนี้ มาจากสตรีท่านหนึ่ง ผู้เรียนรู้จากประสบการณ์ของท่านเองว่ามันมีความหมายมากเพียงใด ความเรียบง่ายของชีวิตเกี่ยวข้องกับการที่เราสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไร สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำจริง ๆ คือ กำหนดหัวใจไว้ที่สัมพันธภาพอันซื่อสัตย์และเรียบง่าย
ท้ายที่สุด เราใช้ชีวิตในกลุ่มหมู่คณะและนำความหวังสู่กันและกัน ของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดที่กลุ่มหมู่คณะจะสามารถมอบให้โลกยุคปัจจุบันได้ก็คือการเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่เพราะการใส่ชุดนักบวชหรือไม่ได้ใส่ชุดนักบวช ไม่ใช่เพราะเราสวดภาวนากันอย่างไร แต่เหนือไปกว่าเรื่องเหล่านั้นก็คือ เพราะเราอธิษฐานภาวนา เพราะเราเชื่อมั่นศรัทธา และเพราะเรารักซึ่งกันและกัน
Cookie | Duration | Description |
---|---|---|
cookielawinfo-checbox-analytics | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics". |
cookielawinfo-checbox-functional | 11 months | The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional". |
cookielawinfo-checbox-others | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other. |
cookielawinfo-checkbox-necessary | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary". |
cookielawinfo-checkbox-performance | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance". |
viewed_cookie_policy | 11 months | The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data. |